โดย Delta Thailand - เผยแพร่เมื่อ ธันวาคม 04, 2567
เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพจัดงาน Delta Future Industry Summit ประจำปี 2567 ณ โรงแรมชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ โดยได้เชิญผู้นำในอุตสาหกรรม ผู้นำแห่งนวัตกรรม และผู้กำหนดนโยบายมาร่วมกันหารือเกี่ยวกับบทบาทการเปลี่ยนแปลงของ AI ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้หัวข้อ “ปลดล็อกศักยภาพ AI รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมและดาต้าเซ็นเตอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Unlocking the Potential of AI for Industrial and Data Center Growth in Southeast Asia)” งานประชุมครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่การใช้ศักยภาพของ AI ในการเปลี่ยนแปลงระบบอุตสาหกรรมอัตโนมัติ การเพิ่มประสิทธิภาพดาต้าเซ็นเตอร์ และระบบอาคารอัตโนมัติ
การประชุมครั้งนี้มีวิทยากรที่มีชื่อเสียงเข้าร่วม อาทิ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีของไทย และนายวิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเดลต้า ประเทศไทย ซึ่งได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของ AI ที่จะปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจทั่วทั้งภูมิภาค ในการบรรยายของนายวิคเตอร์ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของเดลต้าในการริเริ่มโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงระบบ Air-Assisted Liquid Cooling (AALC) ซึ่งเพิ่มความสามารถในการทำความเย็นในขณะที่ลดการใช้พลังงานลงมากกว่า 90% เมื่อเทียบกับระบบดั้งเดิม นวัตกรรมนี้ควบคู่ไปกับการผลิตอัจฉริยะ โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และโซลูชันการจัดการอาคารอัจฉริยะของเดลต้า ซึ่งช่วยเสริมสร้างความมุ่งมั่นของเดลต้าในการขับเคลื่อนความยั่งยืนและประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยี
นอกจากนี้ คุณภารดี สินธวณรงค์ หัวหน้าฝ่ายการตลาดประจำประเทศไทยและเวียดนามของ Meta ได้กล่าวบรรยายในหัวข้อ “อนาคตของการเชื่อมต่อที่ขับเคลื่อนด้วย AI (The Future of AI-Driven Connectivity)” โดยเธอได้เน้นย้ำถึงความก้าวหน้าล่าสุดของ Meta ซึ่งรวมถึงฟีเจอร์ Advantage+ Creative ที่ช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศไทยสามารถสร้างแคมเปญโฆษณาที่ปรับแต่งได้และไดนามิกด้วยการปรับแต่งที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งสามารถเข้าถึงผู้ที่ใช้งานทุกวันทั่วโลกกว่า 3,270 ล้านคน เธอเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Meta ที่จะใช้ AI เพื่อเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจด้วยเครื่องมือที่ขับเคลื่อนทั้งการเชื่อมต่อและประสิทธิภาพ
นายทิม โรเซนฟิลด์ ผู้ก่อตั้งร่วมและซีอีโอร่วมของ Firmus Technologies ขึ้นเวทีเพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสและความท้าทายที่สำคัญที่เกิดจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นของ AI เขาย้ำว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ที่กำลังขยายตัวนั้นอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้ เช่น โครงสร้างพื้นฐานการระบายความร้อนด้วยของเหลว ซึ่งสามารถลดการใช้พลังงานและการปล่อย CO₂ ได้ถึง 50% ข้อมูลเชิงลึกของเขาตอกย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีที่ยั่งยืนเมื่อความต้องการข้อมูลเพิ่มขึ้น
การการเสวนาที่ชีวิตชีวาทำให้การประชุมครั้งนี้มีความเข้มข้นมากขึ้น ผู้เข้าร่วมการประชุมได้พูดถึงความท้าทายและโอกาสของ AI โดยหัวข้อแรกของการเสวานาคือ “ความท้าทายและโอกาสในการนำโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ AI มาใช้ (Challenges and Opportunities in Implementing AI Datacenter Infrastructure)” ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมจาก True IDC, Grab, Meta และเดลต้าเข้าร่วม การเสวนาเน้นที่แนวทางปฏิบัติและกลยุทธ์ AI ที่มีความรับผิดชอบในการบูรณาการ AI เข้ากับแพลตฟอร์มที่มีอยู่ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความโปร่งใส ความคล่องตัว และนวัตกรรม การเสวนาหัวข้อที่สองคือ “การใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อการทำงานและพื้นที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ (Harnessing the Power of AI for Intelligent Work and Living Spaces)” มีผู้นำจาก CapitaLand, SCG, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเดลต้าเข้าร่วม ซึ่งพวกเขาได้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น และหารือเกี่ยวกับโซลูชันในการบูรณาการข้อมูลและการจัดระบบให้ตรงกัน
ตลอดทั้งวัน เดลต้าได้จัดแสดงโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI มากมาย รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ การผลิตอัจฉริยะ โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และการจัดการอาคารอัจฉริยะ ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับพันธกิจของเดลต้าในการ “มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้พลังงานสะอาดและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่ออนาคตที่ดีกว่า” การจัดงานครั้งนี้ของเดลต้าตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้าน AI และความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการเติบโตของภูมิภาคด้วยเทคโนโลยีที่ยั่งยืน
ความสำเร็จของการประชุมสุดยอดครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของทุกคนในเดลต้าในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านนวัตกรรม เรามาเฉลิมฉลองกับความก้าวหน้าที่เราได้มาและทำงานต่อไปเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกผ่านเทคโนโลยี เราทุกคนต่างมีส่วนร่วมในการเดินทางของเดลต้า และร่วมกันสร้างอนาคตที่ชาญฉลาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่น ๆ